🦶 เช็กก่อนฉีดยา! ถ้าปวดเท้าแบบนี้ อาจไม่ต้องพึ่งเข็ม

·

·

“ปวดส้นเท้า ปวดฝ่าเท้า ปวดตรงอุ้ง… จะไปฉีดยาเลยดีไหม?”

หลายคนเมื่อปวดเท้าเรื้อรัง ก้าวเดินลำบาก หรือปวดตอนตื่นนอน มักเลือกฉีดยาเพื่อลดอักเสบทันที เช่น สเตียรอยด์ แต่รู้หรือไม่ว่า…ยังมีวิธีเช็กอาการเบื้องต้นด้วยตนเอง และแนวทางรักษาแบบไม่ต้องฉีดยา ที่ได้ผลดีและปลอดภัยกว่า!

บทความนี้จะพาคุณรู้จักสาเหตุของอาการปวดเท้าที่พบบ่อย วิธีตรวจด้วยตนเอง และเมื่อไหร่ที่ควรเลือกทำกายภาพบำบัดก่อนฉีดยา ในบทความนี้เราจะพาคุณมาเช็กอาการเบื้องต้น พร้อม วิธีตรวจเองง่าย ๆ และเข้าใจว่าทำไม นักกายภาพบำบัด จึงเป็นทางเลือกที่ปลอดภัยและยั่งยืนกว่าการฉีดยาเพียงอย่างเดียว

.

🔎 ปวดเท้าแบบไหนบ้างที่คนมัก “ฉีดยา” ก่อนตรวจ?

  • ปวดส้นเท้าเวลาเหยียบพื้น (โดยเฉพาะตอนตื่นนอน)
  • ปวดอุ้งเท้า หรือฝ่าเท้าด้านในช่วงเดินเยอะ ๆ
  • ปวดเท้าเรื้อรังแม้พักแล้วก็ยังไม่หาย
  • ปวดแปล๊บ ๆ เหมือนไฟฟ้าช็อตตรงปลายเท้า
  • เท้าบวม ชา หรือร้อนร่วมด้วย

💡 งานวิจัยจาก Journal of Orthopaedic Research (2018) ชี้ว่า การฉีดยาสเตียรอยด์บริเวณส้นเท้าเพื่อรักษาโรคพังผืดอักเสบ (Plantar Fasciitis) แม้จะบรรเทาอาการเร็วในระยะแรก แต่หากไม่มีการฟื้นฟูกล้ามเนื้อร่วมด้วย อาจกลับมาเป็นซ้ำ และเสี่ยงต่อภาวะเอ็นฉีกในระยะยาว

.

🔍 ปวดเท้าแบบไหน ที่พบได้บ่อยและไม่ควรมองข้าม

1. รองช้ำ (Plantar Fasciitis)

ปวดบริเวณอุ้งเท้า โดยเฉพาะตอนตื่นนอนหรือก้าวแรก

งานวิจัยจาก Journal of Orthopaedic & Sports Physical Therapy (2020) ระบุว่า กว่า 80% ของผู้ปวดฝ่าเท้าเรื้อรังเกิดจากพังผืดฝ่าเท้าอักเสบ ซึ่งสามารถรักษาได้โดยไม่ต้องฉีดยา

2. เอ็นร้อยหวายตึงหรืออักเสบ (Achilles Tendinopathy)

ปวดบริเวณส้นเท้าด้านหลัง ร่วมกับความฝืดตอนเช้า

อ้างอิงจาก British Journal of Sports Medicine (2018) พบว่าการยืดเหยียดและบริหารกล้ามเนื้อเฉพาะจุดให้ผลดีกว่าการฉีดยาในระยะยาว

3. กระดูกงอกใต้ส้นเท้า (Heel Spur)

ปวดเฉพาะจุดที่กดแล้วเจ็บ สัมผัสได้เป็นปุ่มแข็ง

ฉีดยาอาจช่วยลดอักเสบชั่วคราว แต่ไม่แก้โครงสร้างที่ผิดปกติ งานวิจัยแนะนำให้ทำกายภาพบำบัดควบคู่กับรองเท้าพิเศษ

.

🦶 วิธีเช็กอาการ “ปวดเท้า” ด้วยตนเอง ก่อนตัดสินใจฉีดยา

1. กดจุดใต้ส้นเท้า

ใช้นิ้วโป้งกดบริเวณกึ่งกลางส้นเท้า ถ้ารู้สึกเจ็บแปล๊บ เหมือน “เข็มทิ่ม” โดยเฉพาะตอนเช้า
👉 อาจเป็น พังผืดฝ่าเท้าอักเสบ (Plantar Fasciitis)

2. ยืนเขย่งปลายเท้า

ลองยืนเขย่งเท้าแล้วเดินช้า ๆ หากมีอาการเจ็บใต้ฝ่าเท้าหรือข้างเท้า หรือ ยืนบนปลายเท้า 10 วินาที
👉 อาจมีภาวะกล้ามเนื้อเท้าอ่อนแรง หรือเส้นเอ็นอักเสบ

3. ทดสอบยืดปลายเท้า

นั่งเหยียดขา แล้วใช้มือดึงปลายเท้าขึ้นหาเข่า ถ้ามีอาการเจ็บฝ่าเท้าหรือเส้นเอ็นตึง
👉 อาจมีภาวะตึงของกล้ามเนื้อฝ่าเท้า หรือเอ็นร้อยหวาย

4. เช็กความรู้สึกปลายเท้า

ลองลูบหรือกดปลายนิ้วเท้าแต่ละนิ้ว สังเกตว่ามีอาการ “ชา” หรือ “รู้สึกไม่เท่ากัน” หรือไม่
👉 อาจเกี่ยวกับเส้นประสาทถูกกดทับ เช่น Tarsal Tunnel Syndrome

.

❌ ความเสี่ยงจากการฉีดยาที่คุณอาจไม่รู้

แม้การฉีดยาสเตียรอยด์จะลดอาการอักเสบได้ดีในระยะสั้น แต่หลายงานวิจัยพบว่า…

🔬 อ้างอิง:
งานวิจัยจาก Foot & Ankle International (2019) พบว่า การฉีดยาสเตียรอยด์ในคนที่เป็นพังผืดอักเสบมีความเสี่ยงต่อ “เอ็นฝ่าเท้าแตก” หรือเกิดพังผืดเรื้อรัง หากไม่ได้รับการฟื้นฟูควบคู่

.

🚫 ทำไม “ฉีดยา” จึงไม่ใช่คำตอบสำหรับทุกคน?

แม้การฉีดสเตียรอยด์อาจบรรเทาอาการได้รวดเร็ว แต่ก็มีข้อควรระวัง เช่น

  • ผลข้างเคียง: ทำให้เนื้อเยื่อรอบข้างบางลงหรือเสื่อมเร็วขึ้น
  • อาการกลับมาเร็ว: ถ้าไม่แก้ที่ต้นเหตุ เช่น การลงน้ำหนักผิดหรือกล้ามเนื้ออ่อนแรง
  • ไม่ตอบโจทย์ระยะยาว: โดยเฉพาะในผู้ที่ต้องใช้เท้าเป็นประจำ

อ้างอิง: The American Family Physician Journal (2019) ระบุว่า การฉีดสเตียรอยด์ในโรครองช้ำมีประสิทธิภาพแค่ระยะสั้น และควรใช้ในรายที่รักษาด้วยวิธีอนุรักษ์นิยมไม่สำเร็จเท่านั้น

.

✅ วิธีรักษาปวดเท้าแบบไม่ต้องฉีดยา ด้วยกายภาพบำบัด

  • อัลตราซาวด์บำบัด (Therapeutic Ultrasound): ลดการอักเสบของพังผืด หรือ ใช้เครื่องมือบรรเทาอาการปวด เช่น Shockwave therapy
  • การยืดเหยียดเฉพาะกล้ามเนื้อ: ช่วยคลายพังผืดและเอ็นตึง
  • การฝึกกล้ามเนื้อฝ่าเท้า (Foot Intrinsics Strengthening): เสริมความมั่นคงของเท้า
  • ปรับรองเท้าหรือแผ่นรอง (Orthotics): ลดแรงกดจุดเสี่ยง หรือ แนะนำรองเท้า หรืออุปกรณ์เสริมเฉพาะบุคคล

💡 Clinical Journal of Sports Medicine (2020) พบว่าการทำกายภาพบำบัดต่อเนื่อง 6-8 สัปดาห์ ช่วยลดอาการปวดเท้าเรื้อรังได้มากกว่า 80% โดยไม่ต้องฉีดยา

💡 งานวิจัยใน Clinical Rehabilitation (2020) ชี้ว่า โปรแกรมกายภาพบำบัดช่วยลดอาการปวดเท้าเรื้อรังได้ถึง 70% ภายใน 8-12 สัปดาห์ โดยไม่ต้องพึ่งยา

.

✨ สรุป: ก่อนฉีดยา ลองเช็กเท้าของคุณก่อน

หากคุณ…

  • ปวดเท้าเรื้อรังหลังตื่นนอน
  • เดินแล้วปวดส้นหรือฝ่าเท้า
  • เคยรักษาแล้วไม่หาย หรือปวดกลับมาอีก

👉 ขอแนะนำให้พบ “นักกายภาพบำบัด” เพื่อประเมินสาเหตุและวางแผนฟื้นฟูอย่างตรงจุดก่อนตัดสินใจฉีดยา

.

ปรึกษาทันทีกับนักกายภาพบำบัดที่ธรีแฮปคลินิก โทร.092-939-0919 หรือ Line. @trehab